ข้อ 1. เกี่ยวกับที่อยู่อาศัย
1.1 กรณีที่อยู่อาศัยของตนเองชํารุดทรุดโทรม ไม่ปลอดภัยในการอยู่อาศัยและไม่เคยได้รับการสงเคราะห์ในกรณีนี้มาก่อน ให้ทําการสงเคราะห์เครื่องอุปโภคในการซ่อมแซมหรือช่วยซ่อมแซมตามความจําเป็น ภายในวงเงินไม่เกินรายละ 2,000.-บาท (สองพันบาทถ้วน)
1.2 กรณีที่อยู่อาศัยประสพภัยพิบัติอย่างร้ายแรงและฉับพลัน
1.3 กรณีถูกไล่ที่อยู่อาศัย โดยทางราชการหรือศาลสั่งขับไล่ให้สงเคราะห์โดยให้ทําการสงเคราะห์เป็นเงิน หรือจัดการซ่อมแซมให้ตามที่พิจารณาเห็นสมควร ภายในวงเงินไม่เกินรายละ 2,000.-บาท (สองพันบาทถ้วน) ออกหนังสือขอความร่วมมือช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่หรือหน่วยงานอื่น ในกรณีจําเป็น ให้จ่ายเป็นเงินช่วยเหลือในวงเงินไม่เกินรายละ 2,000.-บาท (สองพันบาทถ้วน)
การสงเคราะห์ประเภทนี้ ผู้ขอรับการสงเคราะห์ต้องยื่นคําร้องขอตามแบบที่มูลนิธิฯ กําหนดพร้อมด้วยหลักฐานต่างๆ เช่น หนังสือรับรองค่าเสียหายจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองสําเนาทะเบียนบ้านเป็นต้น ทั้งนี้ภายในระยะเวลา 3 เดือน นับแต่วันประสบภัยพิบัติ หากพ้นกําหนดนี้ถือว่าหมดสิทธิ์
ข้อ 2. เกี่ยวกับการรักษาพยาบาล
ครอบครัวทหารผ่านศึก ซึ่งเข้ารับการรักษาพยาบาลจากสถานพยาบาลของทางราชการหรือองค์กรของรัฐ จะได้รับเงินค่ารักษาพยาบาล หรือสิ่งของจําเป็นในการรักษาพยาบาล ภายในวงเงินไม่เกินครอบครัวละ 2,000.-บาท (สองพันบาทถ้วน) ทั้งนี้ผู้ขอรับการสงเคราะห์จะต้องยื่นคําร้องขอภายใน 6 เดือน นับแต่วันที่ได้จ่ายค่ารักษาพยาบาล ตามใบเสร็จรับเงิน หรือนับจากวันสุดท้ายที่ออกจากโรงพยาบาลที่ทําการรักษา
ข้อ 3. เกี่ยวกับการคลอดบุตร
ภริยาจะได้รับการสงเคราะห์เป็นเงิน หรือสิ่งของที่จําเป็น ภายในวงเงินไม่เกินรายละ 1,000.-บาท (หนึ่งพันบาทถ้วน) ทั้งนี้ ให้ผู้ขอรับการสงเคราะห์ยื่นคําร้องขอภายใน 6 เดือน นับแต่วันคลอด หากพ้นกําหนดนี้ถือว่าหมดสิทธิ์
ข้อ 4. เกี่ยวกับการส่งเสริมอาชีพ
มูลนิธิสงเคราะห์ครอบครัวทหารผ่านศึก จะให้การสงเคราะห์เกี่ยวกับการส่งเสริมอาชีพแก่ครอบครัวผ่านศึก ดังต่อไปนี้
4.1 แนะแนวทางและส่งเสริมการประกอบอาชีพ
4.2 จัดหางานให้ตามความรู้ความสามารถ
4.3 อนุเคราะห์เข้าทํางาน โดยออกหนังสือรับรองของมูลนิธิฯ ให้
4.4 จัดดําเนินงานสถาบันการศึกษาและฝึกอาชีพเพื่อพัฒนาความสามารถและช่วยยกระดับการศึกษาของครอบครัวทหารผ่านศึก โดยจัดชั้นเรียนให้คําแนะนํา หรือจัดฝึกอบรมอาชีพ ครอบครัวทหารผ่านศึกจะสมัครเข้ารับการฝึกอบรมในสถาบันการศึกษาและฝึกอาชีพของมูลนิธิฯ หรือมูลนิธิฯ อาจพิจารณาจัดส่งไปอบรมวิชาชีพในสถาบันฝึกอาชีพอื่น ตามที่เห็นสมควร ในวงเงินไม่เกินครอบครัวละ 1,500.-บาท (หนึ่งพันห้าร้อยบาทถ้วน)
ข้อ 5. เกี่ยวกับการศึกษา
มูลนิธิสงเคราะห์ครอบครัวทหารผ่านศึก จะให้การสงเคราะห์ประเภทการศึกษาในด้านวิชาสามัญ วิสามัญ และวิชาชีพ จนถึงอุดมศึกษา แก่ครอบครัวทหารผ่านศึก ผู้ไม่มีสิทธิได้รับการสงเคราะห์จากหน่วยงานอื่น หรือมีสิทธิได้รับการสงเคราะห์แต่ไม่พอกับความเดือดร้อน ดังต่อไปนี้-
5.1 สงเคราะห์เงินค่าใช้จ่ายในการศึกษาตามที่มูลนิธิฯ พิจารณาเห็นว่าจําเป็น และสมควรให้การสงเคราะห์เป็นกรณี ในวงเงินไม่เกิน 2,000.-บาท ต่อปี
5.2 สงเคราะห์เป็นทุนการศึกษาแก่ครอบครัวทหารผ่านศึก เพื่อศึกษาในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ขึ้นไป จนจบปริญญาตรี ภายในประเทศ ในวงเงินไม่เกินทุนละ 5,000.-บาท (ห้าพันบาทถ้วน) ต่อปีการศึกษา หลักเกณฑ์และวิธีการในการให้ทุนการศึกษา ให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการมูลนิธิฯ กําหนด
ข้อ 6. เกี่ยวกับสวัสดิการ
มูลนิธิสงเคราะห์ครอบครัวทหารผ่านศึก จะให้การสงเคราะห์ประเภทสวัสดิการแก่ครอบครัวทหารผ่านศึกในกรณีดังต่อไปนี้.-
6.1 การสงเคราะห์กรณีพิการทุพพลภาพครอบครัวทหารผ่านศึกที่พิการทุพพลภาพ จะได้รับการสงเคราะห์ด้านอวัยวะจําลอง เพื่อช่วยให้ร่างกายส่วนพิการนั้น กลับใช้ประโยชน์ได้ตามควรแก่กรณี ในวงเงินไม่เกินรายละ 5,000.-บาท (ห้าพันบาทถ้วน) หรือตามแต่มูลนิธิฯ จะเห็นสมควร
6.2 การสงเคราะห์กรณีทหารผ่านศึกที่เจ็บป่วย
1. สงเคราะห์ค่าพาหนะเดินทางให้ครอบครัวที่มาเยี่ยมเยียนตามที่จ่ายจริง หากครอบครัวใดมีภูมิลําเนาอยู่ในจังหวัดเดียวกับที่ผู้ป่วยพักรักษาตัว อยู่หรือใกล้เคียง ให้สงเคราะห์ค่าพาหนะเยี่ยมเยียนเป็นการจ่ายเหมาไม่เกิน 200.-บาท (สองร้อยบาทถ้วน) ทั้งนี้ให้อยู่ในดุลยพินิจประธานฝ่ายสงเคราะห์
2. สงเคราะห์ค่าเบี้ยเลี้ยง อาหารกลางวัน ในวงเงินคนละ วันละ 50.-บาท (ห้าสิบบาทถ้วน) จํานวนครอบครัวละ 2 คน กําหนดไม่เกิน 7 วัน ปีละ 2 ครั้ง แต่ละครั้งต้องมีระยะเวลาห่างกันไม่น้อยกว่า 6 เดือน
6.3 ช่วยเหลือกรณีถึงแก่ความตาย
1. สงเคราะห์ค่าใช้จ่ายที่จําเป็นในการจัดการศพครอบครัวที่ถึงแก่ความตาย รายละไม่เกิน 1,000.-บาท (หนึ่งพันบาทถ้วน)
2. สงเคราะห์ค่าใช้จ่ายที่จําเป็นให้แก่ครอบครัวทหารประจําการ ในกรณีที่ถึงแก่ความตายจากการปฏิบัติหน้าที่ราชการ รายละไม่เกิน 5,000.-บาท การสงเคราะห์ดังกล่าวนี้ ผู้ขอรับการสงเคราะห์จะต้องยื่นคําร้องภายใน 6 เดือน นับแต่วันที่ถึงแก่ความตาย หากพ้นกําหนดนี้ถือว่าหมดสิทธิ์
6.4 การสงเคราะห์กรณีอรรถคดีและสิทธิอันพึงมีพึงได้
1. จัดให้ได้รับคําแนะนําปรึกษาทางกฎหมายหรืออรรถคดี
2. ในกรณีที่จําเป็นและเห็นสมควร อาจจะจ่ายช่วยเหลือค่าธรรมเนียมศาลในการดําเนินคดีด้วย
3. ช่วยเหลือติดตามให้ได้รับสิทธิ์อันพึงมีพึงได้
6.5. การสงเคราะห์สวัสดิการโดยทั่วไป
1. ทหารและครอบครัวทหารผ่านศึกที่ยากจน มีเหตุจําเป็นและมีความเดือดร้อนเฉพาะหน้า จะได้รับการสงเคราะห์เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนเป็นเงินหรือเครื่องอุปโภค – บริโภค รายละไม่เกิน 500.-บาท (ห้าร้อยบาทถ้วน) ต่อไป
2. ในกรณีที่ครอบครัวทหารผ่านศึกได้รับความเดือดร้อน และมีเหตุจําเป็นจะได้รับการช่วยเหลือติดต่อเรื่องที่อยู่อาศัยให้ตามความเหมาะสม และช่วยเครื่องอุปโภค – บริโภค ตามความจําเป็น
3. แนะนําการแก้ไขปัญหาในการดํารงชีพ และแก้ไขปัญหาครอบครัว
ข้อ 7. การสงเคราะห์เคลื่อนที่
มูลนิธิฯ อาจส่งหน่วยสงเคราะห์เคลื่อนที่ออกไปเยี่ยมเยียนถึงถิ่นที่อยู่ของครอบครัวหทารผ่านศึกเป็นครั้งคราว ตามความเหมาะสม
ข้อ 8.
การจ่ายเงินสงเคราะห์ดังกล่าว ถ้าผู้รับการสงเคราะห์หรือตัวทหารผ่านศึกได้รับการช่วยเหลือจากหน่วยงานอื่นแล้ว ให้งดจ่ายในรายการที่ซ้ํากันนั้นเสียเว้นแต่เห็นว่าที่ได้รับการช่วยเหลือนั้นยังไม่เพียงพอและยังได้รับความเดือดร้อนอยู่ ก็ให้ประธานฝ่ายสงเคราะห์เพิ่มเติมได้ตามความเหมาะสม
ข้อ 9.
มูลนิธิฯ อาจช่วยสงเคราะห์ด้านการกุศลสาธารณประโยชน์ของชุมชนที่จําเป็นหรือที่เกิดสาธารณภัย ตามความเหมาะสมและไม่เกินงบประมาณที่ตั้งไว้
ข้อ 10.
มูลนิธิฯ อาจให้ความช่วยเหลือด้านสิ่งอุปโภค ยารักษาโรค อาหาร วัสดุอุปกรณ์ เครื่องใช้สนาม แก่หน่วยปฏิบัติการป้องกันรักษาความมั่นคงทางชายแดน ผ่านทางผู้บังคับบัญชาหน่วย ตามกรณีที่พิจารณาเห็นสมควร
ข้อ 11.
ผู้ขอรับการสงเคราะห์ต้องยื่นคําร้อง หรือให้ถ้อยคําหรือหลักฐานต่อเจ้าหน้าที่ตามความเป็นจริง ทั้งต้องปฏิบัติตามระเบียบและเงื่อนไขที่มูลนิธิฯ กําหนดหากไม่ปฏิบัติตามนี้ มูลนิธิฯ อาจงดการสงเคราะห์ หรือ ตัดสิทธิ์การสงเคราะห์ตามความเหมาะสมเป็นกรณีๆ ไป
