“ถึงแม้ว่ามูลนิธิสงเคราะห์ครอบครัวทหารผ่านศึกฯ มีอายุครบ 55 ปีแล้วในปี 2567 แต่คนทั่วไป ก็ยังไม่ค่อยรู้จักมูลนิธิฯ เท่าไรนัก บางคนเคยได้ยินชื่อ แต่คิดว่าเป็นหน่วยงานหนึ่งขององค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก หลายคนคงอยากรู้และมีคำถามต่าง ๆ เกี่ยวกับมูลนิธิฯ เราก็ขอถือโอกาสนี้เล่าให้ท่านทั้งหลายฟัง”

มูลนิธิสงเคราะห์ครอบครัวทหารผ่านศึกฯ มีที่มาที่ไปอย่างไร

ตอบ: “มูลนิธิสงเคราะห์ครอบครัวทหารผ่านศึกฯ เริ่มก่อตั้งขึ้นเป็นครั้งแรกในรูปของสโมสรสงเคราะห์ครอบครัวทหารผ่านศึก เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2511 มีชื่อย่อว่า ส.ค.ท.
ผู้ริเริ่มก่อตั้งได้แก่ท่านผู้หญิงจงกล กิตติขจร เมื่อครั้งติดตามจอมพลถนอม กิตติขจร ขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและผู้บัญชาการทหารสูงสุดไปเยี่ยมเยียนทหารที่ออกปฏิบัติหน้าที่ตามชายแดน ท่านผู้หญิงจงกลเห็นและเข้าใจความทุกข์ยากลำบากใจของทหารเหล่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเป็นห่วงครอบครัวที่อยู่แนวหลัง ทั้งความเป็นอยู่และรายได้ของครอบครัว ยิ่งถ้าเป็นผู้นำครอบครัวต้องเสียชีวิต หรือได้รับบาดเจ็บ พิการทุพพลภาพ ครอบครัวจะลำบากมากขึ้น
นี่จึงเป็นที่มาของการจัดตั้งสโมสรสงเคราะห์ครอบครัวทหารผ่านศึกขึ้นเพื่อช่วยเขาเหล่านั้น”

นอกจากท่านผู้หญิงจงกลแล้ว มีใครอีกบ้างที่เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการทำงานของ ส.ค.ท. ในยุคแรก ๆ

ตอบ: “ท่านผู้หญิงจงกลได้นำความคิดเรื่องนี้ไปปรึกษาหารือบุคคลต่าง ๆ ได้แก่ พลโทประชุม ประสิทธิ์สรจักร ผู้อำนวยการองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกในขณะนั้น ท่านเห็นด้วยในหลักการที่สโมสรฯ จะเข้ามาเสริมงานขององค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก และยังได้อนุญาตให้ใช้สโมสรขององค์การทหารผ่านศึกเป็นที่ทำการชั่วคราวด้วยท่านผู้หญิงจงกลเป็นประธานกรรมการสโมสร
คุณหญิงสวาท ประสิทธิ์สรจักร ภริยาของท่านผู้อำนวยการองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกก็ได้เข้ามาร่วมงานของสโมสรฯ โดยรับหน้าที่เป็นเลขานุการคนแรก ท่านผู้หญิงนวลผ่อง เสนาณรงค์ เป็นนายทะเบียน โดยคุณนิลวรรณ ปิ่นทอง ได้ให้แนวคิดในการดำเนินงานการสงเคราะห์และเป็นผู้ร่างตราสาร หรือระเบียบข้อบังคับของสโมสรฯ คณะกรรมการสโมสรประกอบด้วยภริยาข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ทั้งทหารและพลเรือนเช่นคุณหญิงบุบผา หิรัณยัษฐิติ คุณประกอบเกียรติ ชาญเลขา คุณมาลี เพ็ญชาติ ทุกท่านร่วมกันทำงานด้วยความเต็มใจเพื่อช่วยดูแลครอบครัวทหารตำรวจและอาสาสมัครที่ออกไปปฏิบัติราชการเพื่อปกป้องประเทศชาติของเรา โดยมีพลโทปุ่น วงศ์วิเศษ รองผู้อำนวยการองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกเป็นที่ปรึกษา”

ส.ค.ท. เปลี่ยนชื่อมาเป็น มูลนิธิสงเคราะห์ครอบครัวทหารผ่านศึก ตั้งแต่เมื่อไร

ตอบ: “เมื่อการดำเนินงานสงเคราะห์ของส.ค.ท. ดำเนินไปด้วยดี คณะกรรมการสโมสรฯ มีความเห็นว่าเพื่อให้งานเป็นปึกแผ่นมั่นคง และสะดวกในการทำนิติกรรมต่าง ๆ ควรเปลี่ยนสภาพจากสโมสรเป็นนิติบุคคล จึงได้ยื่นขอจดทะเบียนตั้งเป็น มูลนิธิสงเคราะห์ครอบครัวทหารผ่านศึก ใช้ชื่อย่อว่า มสคท. และได้รับอนุญาตเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2517  มสคท. จึงมีฐานะเป็นนิติบุคคลตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา  โดยมีหม่อมเจ้าหญิงดวงทิพโชติ์ อาภากร ทรงดำรงตำแหน่งประธานกรรมการมูลนิธิฯ และมีกรรมการ ประกอบด้วยรองประธาน  กรรมการจัดการ  เลขานุการ  เหรัญญิก  และกรรมการฝ่ายต่าง ๆ รวมทั้งสิ้น 30 คน  มีกรรมการจัดการเป็นผู้ประสานในการบริหารงานของทุกฝ่ายให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์แห่งตราสารของมูลนิธิฯ ต่อมาเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2520มูลนิธิฯ ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ทรงรับมูลนิธิฯ ไว้ในพระราชูปถัมภ์ตามที่คณะกรรมการขอพระราชทาน ปัจจุบันคุณหญิงแสงเดือน ณ นคร เป็นประธานกรรมการมูลนิธิฯ  นับเป็นประธานฯคนที่สามของ  มสคท.”

งานของ มสคท. มีอะไรบ้าง

ตอบ: “มสคท.เป็นนิติบุคคลภาคเอกชนที่สนับสนุนสงเคราะห์ครอบครัวของทหารที่ได้สละชีวิต ทั้งบาดเจ็บ พิการ ในการปฏิบัติการรบ ผู้ที่กำลังปฏิบัติราชการป้องกันประเทศ ปราบปรามการกระทำอันเป็นภัยต่อความมั่นคงปลอดภัยของประเทศ ซึ่งก็มีทั้งทหาร ตำรวจ พลเรือน และพลเรือนอาสาสมัคร ซึ่ง ถึงแม้ว่าจะได้รับการช่วยเหลือจากองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกแล้วก็ตาม แต่ก็มีการสงเคราะห์บางอย่างที่นอกเหนือไปจากระเบียบขององค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกทำให้ทางองค์ฯการไม่สามารถให้ได้โดยเฉพาะครอบครัว มูลนิธิฯ ก็จะเข้าไปให้ความช่วยเหลือในส่วนนี้   อนึ่ง  มสคท . จะไม่ให้การสงเคราะห์ที่ซ้ำซ้อนกับองค์กรสงเคราะห์ทหารผ่านศึก  แต่จะให้ความช่วยเหลือในด้านสวัสดิการ  ส่งเสริมอาชีพ  การศึกษา  การรักษาพยาบาล และการให้ความช่วยเหลือเฉพาะหน้าแก่ครอบครัวทหารผ่านศึกตามความจำเป็นและความเหมาะสมเป็นกรณีไป”

ในการดำเนินงานของ มสคท. ที่จะช่วยเหลือบรรดาครอบครัวของทหารนั้น มีการหาทุนอย่างไรบ้าง

ตอบ: “ในตอนแรกเลย จอมพลถนอม กิตติขจรได้บริจาคเงินส่วนตัวประเดิมจำนวน หนึ่งแสนบาท และบรรดาภรรยาข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ทั้งทหารและพลเรือน ได้ร่วมสมทบทุนอีกตามกำลังศรัทธา ก็ได้เงินมาจำนวนหนึ่งมาดำเนินการเพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ครอบครัวทหารผ่านศึกในปีแรก (ในปีพ.ศ.2513 ได้เงินบริจาคจากสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลจำนวนหนึ่งล้านบาทมาเพื่อใช้ในการก่อสร้างตึกที่ทำการใหม่ในที่ดินของกองทัพบก ปัจจุบันสำนักงานอยู่ที่ เลขที่ 39 ถนนวิภาวดี-รังสิต เขตพญาไท กทม.)

ต่อมาได้จัดการหาทุนเป็นครั้งแรก โดยการจัดงานเลี้ยงน้ำชา   ขึ้นที่บ้านพักของท่านผู้หญิงจงกล  เชิงสะพานเกษโกมล  ได้เชิญนักธุรกิจพ่อค้าคหบดีผู้มีจิตกุศลมาร่วมงาน  ได้เงินบริจาคสมทบทุนเป็นจำนวนกว่าล้านบาท  แต่วิธีการหาทุนลักษณะนี้คงทำตลอดไปไม่ได้  คณะกรรมการจึงได้หาวิธีอื่นที่จะทำได้อย่างต่อเนื่อง  และเปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปได้ร่วมบริจาคด้วย   ท่านผู้หญิงจงกลได้มีโอกาสติดตามท่านจอมพลไปเยือนสาธารณรัฐ (ไต้หวัน)   ได้ไปเห็นว่าภรรยานายทหารของจีนได้ตั้งสมาคมขึ้นเพื่อช่วยเหลือครอบครัวทหารผ่านศึก   จึงได้นำสิ่งที่ได้ไปพบเห็นมามาลองทำในบ้านเราบ้าง   ส่วนวิธีการที่จะหาทุนคณะกรรมการสโมสรฯ  ได้เห็นว่าในต่างประเทศถือดอกป๊อปปี้เป็นดอกไม้ของทหารผ่านศึก เนื่องจากเป็นดอกไม้สีแดงที่ขึ้นในบริเวณหลุมฝังศพทหารในสมรภูมิฟลานเดอร์สในยุโรป   สีแดงของดอกไม้จึงเปรียบเสมือนสีเลือดของทหารที่ได้หลั่งลงบนสมรภูมินั้น  จึงได้คิดทำดอกป๊อปปี้ประดิษฐ์ออกจำหน่ายในวันที่ระลึกของทหารผ่านศึกในประเทศไทย  ซึ่งตรงกับวันที่   3   กุมภาพันธ์   ทุกปีและเป็นการหาทุนเพียงปีละครั้งเดียวเท่านั้น”

การทำดอกป๊อปปี้ของ มสคท.ว่าทำกันอย่างไร

ตอบ: “ในการจัดทำดอกป๊อปปี้  ได้มอบให้คุณหญิงบุบผา  หิรัณยัษฐิติ  ลองทำเป็นตัวอย่างก่อนและฝึกให้อาสาสมัครหัดทำ  ในตอนนั้นได้รับความอนุเคราะห์จาก  พลโทสมัย   แววประเสริฐ  เจ้ากรมอุตสาหกรรมทหารได้บริจาคผ้าสีแดง  สีเขียว  ซึ่งผลิตจากโรงงานทอผ้าของกรมอุตสาหกรรมทหารมาใช้ในการทำดอกป๊อปปี้และ  พลโทผจญ  เกียรติประจักษ์  หัวหน้ากองสรรพาวุธทหารบกขณะนั้น  การทำดอกไม้ก็สำเร็จลุล่วงไปด้วยดีได้ดอกไม้ออกจำหน่ายทั่วไปในกรุงเทพฯ  เป็นปีแรกในปี 2512”

ใครบ้างที่มาช่วยทำดอกป๊อปปี้

ตอบ: “เริ่มแรกถึงปัจจุบันคนที่มาช่วยทำดอกป๊อปปี้ได้แก่ภรรยาข้าราชการทหาร ตำรวจ และพลเรือนที่เป็นอาสาสมัครสโมสรฯในอดีตและมูลนิธิฯในปัจจุบันมาช่วยกันทำดอกป๊อปปี้ทุกวันอังคาร บางคนก็รับงานไปทำที่บ้าน แล้วนำกลับมาส่งในสัปดาห์ต่อไป แต่ที่สำคัญที่สุดคือ มสคท.ได้ให้ครอบครัวทหารผ่านศึกรับดอกไม้ไปทำ โดยคิดค่าจ้างให้เป็นรายดอกซึ่งปีหนึ่ง ๆ จะมีครอบครัวทหารผ่านศึกมารับดอกไม้ไปทำเป็นจำนวนมาก ทำให้ครอบครัวมีรายได้พิเศษเพิ่มขึ้น  ก็ถือว่าเป็นการสงเคราะห์ที่ให้แก่ครอบครัวทหารผ่านศึกโดยตรงทีเดียว

อาสาสมัครของมสคท. จะมาร่วมกันทำดอกป๊อปปี้สำหรับเตรียมไว้จำหน่ายในแต่ละปี  เป็นการทำงานล่วงหน้าหลังจากหมดเทศกาลดอกป๊อปปี้บานในเดือนกุมภาพันธ์ พอประมาณเดือนมีนาคมก็เริ่มทำไปจนกระทั่งถึงวันออกจำหน่ายในปีถัดไป  ดอกป๊อปปี้ที่ทำก็มีหลายแบบ  เป็นดอกเดี่ยว ๆ บ้าง  แบบเข้าช่อก็มีทั้งขนาดเล็ก และขนาดใหญ่  ทำใส่กระถางหรือแจกันเล็ก ๆ แบบน่ารัก ๆ ก็มี”

ทุกปีจะเห็นดารา นักแสดงมาร่วมจำหน่ายดอกป๊อปปี้ในวันทหารผ่านศึก อยากทราบว่ามีใครอีกบ้างที่มาช่วยงานนี้

ตอบ: “การจำหน่ายดอกป๊อปปี้เป็นงานที่ มสคท. ทำเพียงปีละครั้งเดียว  เนื่องจากเป็นงานที่ทำด้วยใจ จึงได้รับความร่วมมืออย่างดียิ่งจากบุคคลทุกสาขาอาชีพ มีอาสาสมัครที่อยู่ในวงการแสดง ทั้งรุ่นเล็กและรุ่นใหญ่ ข้าราชการทหาร ตำรวจ และพลเรือน นิสิต นักศึกษา นักเรียนจากโรงเรียนทั้งในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัดรับไปช่วยจำหน่าย นอกจากนั้น ก็มีหน่วยงานของกองทัพรับไปช่วยจำหน่ายด้วย  รวมทั้งแม่บ้านทหาร  ตำรวจ และอาสาสมัครพลเรือนที่มาช่วยทำดอกป๊อปปี้ก็มาร่วมกันขายด้วย เรียกว่าเป็นสัปดาห์ดอกป๊อปปี้บานจริง ๆ เพราะมองไปทางไหนในช่วงนั้น ก็จะเห็นประชาชนทุกหมู่เหล่าต่างก็เข้ามาช่วยกันอุดหนุน บางคนให้เงินเกินราคา บางคนไม่ขอรับดอกป๊อปปี้  ที่ซื้อไปแล้วเอาติดไว้ที่หน้าอกเสื้อก็มาก  เห็นแล้วน่าชื่นใจทั้งคนทำและคนซื้อ”

เคยเห็นรูปสมเด็จย่าทรงจำหน่ายดอกป๊อปปี้ให้กับประชาชน  อยากให้เล่าเรื่องนี้ให้ฟังด้วย

ตอบ: “เป็นเรื่องน่าปลาบปลื้มเป็นอย่างยิ่งสำหรับกรรมการและอาสาสมัครทุกคนของมสคท.   ก็คือการที่สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี องค์อุปถัมภ์ของมูลนิธิฯ  ได้มีน้ำพระทัยเมตตาทรงนำดอกป๊อปปี้ไปจำหน่ายด้วยพระองค์เองทุกปี ทุกครั้งที่เสด็จไปทรงเยี่ยมราษฎรตามต่างจังหวัดก็มิได้ทรงละเว้น ที่จะทรงนำดอกไม้ไปจำหน่ายด้วย แม้แต่ในปีสุดท้ายที่ทรงประชวรและประทับอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช ก็รับสั่งให้มูลนิธิฯ ส่งดอกป๊อปปี้ไปถวายเพื่อทรงจำหน่ายแก่แพทย์และพยาบาลรวมทั้งประชาชนที่ผ่านไปมาด้วย  ทุกครั้งจะมีเงินจากการทรงจำหน่ายมาพระราชทานแก่มูลนิธิฯ เป็นจำนวนมาก ซึ่งเราทุกคนต่างสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น”

คำถามสุดท้าย:  อยากจะฝากข้อคิดหรือความประทับใจอย่างไรบ้างกับการทำงานของ มสคท.

ตอบ: “มสคท. ยืนหยัดมาได้จนทุกวันนี้ก็ด้วยวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลของประธานผู้ก่อตั้ง  เพราะความร่วมใจของอาสาสมัครที่เป็นครอบครัวทหาร ตำรวจ ข้าราชการ และบุคคลทั่วไป  ทั้งยังได้รับความร่วมมือจากสมาคม หน่วยงาน ทั้ง พลเรือน ทหาร เอกชน และสื่อมวลชนสาขาต่าง ๆ นักแสดง นิสิตนักศึกษา นักเรียน  และที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดคือ พระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จย่าที่ได้ทรงรับมสคท. ไว้ในพระราชูปถัมภ์  และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถได้ทรงพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานพระบรมราชินูญาตให้ใช้เครื่องแบบตามที่ประธานกรรมการฯ ได้กราบบังคมทูลขอพระราชทานขึ้นไป เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยในเวลาที่ไปปฏิบัติงานนอกสถานที่”

“ก็อยากจะสรุปว่า มสคท. เป็นที่รวมของความรักและความเสียสละเพื่อส่วนรวม และเป็นความภาคภูมิใจของพวกเรา  ไม่ว่าในยามสงบหรือมีภัยสงครามมสคท. พร้อมเสมอที่จะดูแลผู้ที่เป็น “กำลังใจ” ของทหารกล้าทุกคน”

Scroll to Top